เปิดนโยบายแก้ฝุ่นควันสามขั้ว ผู้แทนเชียงใหม่ เครือข่ายประชาชนยินดีรัฐตื่นตัว หวัง ‘กระจายอำนาจ’

เรื่อง: นราธร เนตรากูล / ธรรศ์ทัศน์ วินิจมานนท์
ภาพ: นราธร เนตรากูล

สามผู้แทน ‘เพื่อไทย-ปชป.-อนาคตใหม่’ เผยปัญหาฝุ่นควันต้องเร่งดำเนินการทันที ด้านเครือข่ายภาคประชาชนชี้น่ายินดีที่ภาครัฐตื่นตัวกับปัญหาฝุ่นควัน มองถึงการจัดการต้องมุ่งเน้นกระจายอำนาจเพื่อการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

จากกรณีฝุ่นควันที่ปกคลุมภาคเหนือมาเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งเดือน และมีค่าฝุ่นควันค่อนข้างสูงกว่าปีที่ผ่านมา จนทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ภาครัฐดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน

นางทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จังหวัดเชียงใหม่ เผยถึงนโยบายแก้ปัญหาฝุ่นควันว่า จากการประชุมกับผู้ใหญ่ในพรรคที่เกี่ยวข้อง หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะต้องนำปัญหานี้ไปเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เพราะปัจจุบันหลายจังหวัดในภาคเหนือรวมถึงเชียงใหม่ยังไม่มีเครื่องวัดค่ามลพิษตามเวลา จริงที่จะทำให้ประชาชนรู้ถึงค่ามลพิษที่แท้จริง ฉะนั้นการแก้ไขลำดับแรก ๆ คงหนีไม่พ้นการเร่งติดเครื่องดังกล่าวทันที รวมถึงต้องแจกหน้ากากอนามัยสำหรับป้องกันฝุ่น P.M. 2.5 ให้ทั่วถึง ซึ่ง 2 วิธีนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้องเร่งทำที่สุด นอกจากนี้ทางพรรคยังมีนโยบายรณรงค์ควบคู่กับการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่เพื่อควบคุมการเผาป่าเพื่อทำเกษตรกรรมในวันและเวลาที่ต้องห้ามอย่างจริงจัง นอกจากนั้นจะเป็นการยกระดับการคมนาคมไม่ว่าจะเป็นการสร้างรถไฟฟ้าเพื่อใช้แทนการ

สัญจรแบบเดิมที่ทำให้เกิดมลพิษจากการเผาไหม้น้ำมันดีเซลที่ปัจจุบันประเทศไทยใช้ในการเดินทางกว่า 2 ล้านลิตรต่อวัน เร่งผลักดันให้มีการสร้างรถไฟฟ้าในประเทศให้มากขึ้นเพื่อลดการเดินทางที่จะทำให้เกิดมลพิษแบบที่รัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยพยายามทำกับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ารถไฟฟ้าจะสร้างความสะดวกในการเดินทาง ทว่าระหว่างก่อสร้างก็จะทำให้เกิดฝุ่น P.M. 10 ซึ่งอาจแตกตัวกลายเป็น P.M. 2.5 ได้ ฉะนั้นขั้นตอนการสร้างรถไฟฟ้า พรรคเพื่อไทยมีมาตรการรองรับไว้แล้วโดยอาจห้ามสร้างในเวลากลางวัน ณ ช่วงที่มีปัญหาฝุ่นควันเช่นเดือนมกราคม-มีนาคม ลดภาษีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อราคาที่เหมาะสมกับคนไทย แต่หัวใจของการแก้ปัญหาทั้งหมดรัฐบาลเพียงรัฐบาลเดียวอาจไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้ ฉะนั้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะผู้นำชุมชน หรือ ส.ส. ในแต่ละเขตจะรู้ถึงปัญหาของพื้นที่ตนเองมากที่สุด

นอกจากนี้นางทัศนีย์ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลและตนได้เป็นส.ส. เชื่อว่านโยบายจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมที่พรรคเตรียมไว้จะจัดการปัญหาฝุ่นควันให้หมดไปได้อย่างแน่นอน

ด้านนายพรชัย จิตรนวเสถียร ผู้ลงสมัครส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ เขต 1 กล่าวว่า นโยบายแก้ปัญหาฝุ่นควันของพรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่พรรคให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ เพราะสาเหตุการเกิดปัญหาดังกล่าวเกิดจากทั้งการเผาป่าเพื่อการเกษตรของประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่ผู้ใหญ่ในไทยไม่เคยให้ความสำคัญกับการเจรจาเรื่องนี้กับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นสาเหตุปัญหาฝุ่นควัน และอุตสาหกรรมกระบวนการผลิตแบบเก่า การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์จากน้ำมันดีเซลเพราะไม่มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบคุณภาพรถและพัฒนาด้านคมนาคมให้มีการใช้พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง รวมถึงการบุกรุกป่าขยายพื้นที่เกษตรกรรม เนื่องจากเกษตรกรขาดทุนเพราะปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ

นอกจากนี้ยังไม่มีการตรวจสอบการกระทำดังกล่าวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะปัจจุบันผู้มีอำนาจหวังเพียงแต่ผลประโยชน์ต่อตนเอง ไม่ใช่ต่อสังคม ปัญหานี้จึงเกิดซ้ำทุกปีในหลายจังหวัดไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง รวมถึงกรุงเทพฯ ในปีล่าสุด และมีการแก้ไขเพียงการฉีดน้ำจากที่สูง รณรงค์ให้ใส่หน้ากากอนามัยโดยที่หน้ากากขาดตลาด หากได้เป็นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และตนจะใช้นโยบายแก้ปัญหาฝุ่นควันแบบครบวงจร ในระยะสั้น เร่งผลิตหน้ากากอนามัยสำหรับป้องกันฝุ่น PM 2.5 ให้เพียงพอต่อความต้องการและขายในราคาที่เหมาะสม หากผลิตไม่ทันจะใช้การนำเข้าทันที ในระยะกลาง จะแก้ไขด้วยวิธีเรียกประชุมผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศไทยทุกบริษัทเพื่อกำหนดจุดประสงค์ผลักดันให้ใช้รถจากพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงานสะอาดทั่วประเทศ จัดประชุมกับผู้นำต่างประเทศที่มีส่วนทำให้เกิดปัญหาฝุ่นควันในภาคเหนือตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เช่น เมียนมา กัมพูชา จากการเผาพื้นที่เกษตรกรรม ในระยะยาว พัฒนาระบบการศึกษาให้เด็กรุ่นใหม่รู้เท่าทันปัญหาและบอกต่อสู่ผู้ปกครองต่อผลกระทบจากฝุ่นควัน ไม่ว่าจะเป็นการทำลายระบบสมองต่อเด็กในท้อง เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของประชาชนในปัจจุบัน ฉะนั้นการแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นระบบตั้งแต่ระยะสั้น กลาง และยาว อย่างเป็นพลวัต

ด้านนางสาวศุภรี ฉัตรกันยารัตน์ ผู้แทนจากพรรคอนาคตใหม่ เขต ๑ จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ตนเองนั้นมีความสนใจในฐานะประชาชนเชียงใหม่ ซึ่งในอดีตฝุ่นควันไม่ได้เยอะขนาดนี้ แต่ปีนี้การเกิดฝุ่นควันมีความรุนแรงมากจึงเคลื่อนไหวมากในระดับหนึ่ง ทั้งส่วนตัวและในนามของพรรคด้วย เช่นการเข้าร่วมวงเสวนาเกี่ยวกับปัญหาฝุ่นควันหลายครั้ง ทั้งที่จัดโดยภาครัฐ และจัดโดยหน่วยงานอิสระต่าง ๆ

ณ วันนี้ที่พรรคอนาคตใหม่ทำคือการรวบรวมรายชื่อเข้าไปเสนอกฎหมาย หรือแก้ไขเงื่อนไข ต่าง ๆ ที่ไม่สามารถทำให้พรรคดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสุดท้ายนี้แล้วตนเชื่อว่าหากคนท้องถิ่นอยากดำเนินการในเรื่องนี้ ต้องมีอำนาจการจัดการ และงบประมาณในเวลาเดียวกัน โดยตนก็ได้มีการแสดงความคิดเห็น และสร้างเครือข่ายจัดการปัญหาหมอกควัน และสร้างเพจเฟซบุ๊กขึ้นมาเรียบร้อย ซึ่งตนจะผลักดันให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ และควรจะต้องแบ่งกันแก้ปัญหาเป็นสองระยะ สามระยะ เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ประเทศไทย แต่ยังมีปัญหาเรื่องหมอกควันข้ามแดน แต่ต้องเป็นวาระแห่งชาติ และมีการดูแลเรื่องพื้นที่ เช่นการจัดทำจุดแจ้งความรับเรื่องร้องทุกข์เป็นแบบ ONE STOP SERVICE ส่วนระยะกลางจะมีการรณรงค์ข้ามปี เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซํ้าซาก ส่วนระยะสั้นก็ต้องแจกหน้ากากอนามัยซึ่งอาจสร้างความตระหนักตั้งแต่เยาวชน โดยอาจมีการสร้างกลุ่มไลน์เพื่อการสื่อสารที่ง่ายขึ้น

ด้านนายธีรมล บัวงาม เครือข่ายภาคประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ระบุว่า ในภาพรวมของทุกพรรคเป็นที่น่ายินดี ที่พรรคการเมืองมีการตื่นตัวจากปัญหาฝุ่นควันในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นระบบ โดยแต่ละพรรคจะมีแนวทางในการแก้ไขหลายระดับ และสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่รัฐบาลที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งภายในเวลาไม่อีกกี่เดือนนี้สามารถทำได้เลยคือการหยิบเอาข้อเสนอ และการศึกษาจำนวนมากที่มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องฝุ่นควันมาเปิดการพูดคุย หรือควรจะจัดการอย่างไร โดยไม่จำเป็นจะต้องให้คณะกรรมการมาศึกษาข้อมูลอีกครั้ง โดยเรื่องนี้มีทั้งนักวิจัย และการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านการถกเถียงและวิเคราะห์มาแล้วพอสมควร โดยรัฐบาลสามารถนำเอาข้อเสนอ และองค์ความรู้นี้ไปต่อยอดเพื่อปรับใช้ได้เลย เพียงแต่ว่ารัฐควรจะใช้กลไกที่เหมาะสมกับในบริบทของภูมิภาคนี้มากกว่าการทำในระดับปฐมภูมิ เช่นการสั่งกำหนดพื้นที่ห้ามเผาป่าที่ทำมาหลายปีแล้ว แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน และในกรณีที่แนวคิดหลาย ๆ อย่างยังคงต้องการการพูดคุยเพื่อหาข้อสรุป หรือแลกเปลี่ยนความรู้เพิ่มเติม ตัวผู้แทนก็จะสามารถเอื้ออำนวยให้เกิดเวทีเสวนาที่ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงได้

ส่วนการแก้ปัญหาเบื้องต้น ในระยะสั้นคือการจัดการกับสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เจอ เช่นการแจกหน้ากาก หรือการมุ่งกำหนดโซนการเผา ส่วนระยะกลางกับระยะยาวจะเป็นเรื่องของนโยบายเช่นการปรับปรุงการคมนาคม และการสนับสนุนเกษตรกรให้มีรายได้ และพื้นที่ทำกินที่ไม่ต้องใช้การเผาป่า  อย่างไรก็ตามตนยอมรับว่านโยบายที่หลาย ๆ พรรคได้นำเสนอมานั้น ยังเป็นเพียงแค่แนวทาง และไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าทำได้หรือทำไม่ได้ เพราะเงื่อนไขที่จะสามารถดำเนินการตามนโยบายที่กล่าวมาเบื้องต้นให้สำเร็จได้ต้องใช้ปัจจัยหลาย ๆ อย่าง

ส่วนในเรื่องของการกระจายอำนาจนั้น จากที่ได้ฟังนโยบายพรรคการเมืองหลาย ๆ พรรค มีการเสนอให้กระจายอำนาจอย่างชัดเจน โดยมีความพยายามตั้งแต่ครั้งเมื่อร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี พ.ศ. 2535 หรือในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 ซึ่งรัฐต้องส่งเสริมการกระจายอำนาจ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้แบบเบ็ดเสร็จและกลับไปมุ่งเน้นด้านการจำกัดหรือบังคับใช้กฎหมายเสียมากกว่า เช่น การบังคับเขต ห้ามเผา หรือควบคุมเขตห้ามเผา ซึ่งวิธีคิดนี้จะเป็นเรื่องของการจัดการของรัฐในระดับพื้นที่ แต่แท้จริงแล้วปัญหาฝุ่นควันนี้จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องระดับประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นเรื่องของเศรษฐกิจระดับมหภาค เช่นการส่งเสริมให้ปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่จากไทยไปลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง จึงส่งผลให้ส่วนท้องถิ่นไม่สามารถจัดการปัญหาฝุ่นควันด้วยตนเองได้  โดยสิ่งที่ตนคาดหวังคือต่อไปรัฐบาลในอนาคตสามารถกระจายอำนาจในแง่ของการตัดสินใจ คือต้องส่งเสริมให้ท้องถิ่นสามารถจัดการได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากฝ่ายรัฐบาลกลาง เช่นความร่วมมือระหว่างประเทศ สร้างกฎกติกาต่าง ๆ หรือมาตรการเกี่ยวกับความรับผิดชอบข้ามพรมแดนเพื่อควบคุมปริมาณฝุ่นควันให้ลดลง และแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

เรื่องล่าสุด